สายไฟเบอร์ออฟติกมี่กี่ประเภท ต่างกันอย่างไร

สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) หรือสายใยแก้วนำแสง เป็นสายเคเบิ้ลที่ใช้ในการส่งข้อมูลด้วยแสงผ่านเส้นใยแก้วหรือพลาสติกที่มีความละเอียดสูง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โทรคมนาคม และอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยมีข้อดีหลักที่สามารถส่งข้อมูลได้รวดเร็วอย่างมากและมีการสูญเสียสัญญาณที่ต่ำเมื่อเทียบกับสายชนิดอื่น เช่น สายทองแดง เป็นต้น

สายไฟเบอร์ออฟติกนั้นมี 2 ประเภท ได้แก่แบบ Single-Mode (SMF) ที่มีส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็ก สามารถส่งข้อมูลไกลกว่า และ แบบ Multimode (MMF) ที่มีส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่กว่า เหมาะสำหรับการใช้งานในระยะสั้น

ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่า สายไฟเบอร์ออฟติกมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ทำงานอย่างไร และข้อแตกต่างระหว่าง 2 ประเภทนี้มีอะไรบ้าง

ส่วนประกอบ

สายไฟเบอร์ออฟติกประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้:

  1. แกนกลาง (Core): เส้นใยแก้วหรือพลาสติกที่ใช้ส่งสัญญาณแสง
  2. เปลือกหุ้มแกน (Cladding): ชั้นที่ล้อมรอบแกนกลาง ช่วยสะท้อนแสงกลับเข้ามาในแกนกลาง
  3. ชั้นกันกระแทก (Buffer Coating): ชั้นป้องกันความเสียหายทางกายภาพ เช่น การขีดข่วนหรือแรงกระแทก
  4. ปลอกสาย (Outer Jacket): ชั้นนอกสุดที่ช่วยป้องกันสายจากสภาพแวดล้อม

หลักการทำงานคร่าวๆ

สายไฟเบอร์ออฟติกทำงานโดยการส่งสัญญาณแสงที่เข้ารหัสข้อมูลผ่านเส้นใยแก้วหรือพลาสติกภายในตัวสาย สัญญาณแสงจะถูกส่งต่อไปด้วยการสะท้อนภายใน (Total Internal Reflection) โดยการทำงานมีขั้นตอนดังนี้:

  1. การแปลงข้อมูลเป็นแสง: อุปกรณ์ส่ง (Transmitter) จะเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นสัญญาณแสง
  2. การส่งผ่านสายไฟเบอร์: แสงจะเดินทางผ่านแกนกลางของสายที่มีการสะท้อนแสงตลอดเส้นทาง
  3. การแปลงแสงกลับเป็นข้อมูล: อุปกรณ์ปลายทาง (Receiver) จะเปลี่ยนสัญญาณแสงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อการประมวลผล

ประเภทของ Fiber Optic

1. สายใยแก้วนำแสงแบบ Single-Mode (SMF)

มีเส้นผ่าศูนย์กลางของแกนกลาง (Core) ที่มีขนาดเล็กมาก (ประมาณ 8-10 ไมครอน) และส่งข้อมูลด้วยแสงเพียงช่องสัญญาณเดียว

ข้อดี:

  • สามารถส่งข้อมูลได้ระยะไกลถึง 40-100 กิโลเมตรหรือมากกว่า
  • รองรับแบนด์วิธสูง เหมาะสำหรับการใช้งานในเครือข่ายโทรคมนาคม

ข้อเสีย:

  • ราคาสูงกว่า Multimode
  • ต้องใช้อุปกรณ์ที่มีความแม่นยำสูงในการติดตั้ง

2. สายใยแก้วนำแสงแบบ Multimode (MMF)

มีเส้นผ่าศูนย์กลางของแกนกลาง (Core) ขนาดใหญ่กว่า (ประมาณ 50-62.5 ไมครอน) ส่งข้อมูลได้หลายช่องสัญญาณพร้อมกัน

ข้อดี:

  • ราคาถูกกว่า Single-Mode
  • เหมาะสำหรับการใช้งานในระยะสั้น เช่น ภายในอาคารหรือศูนย์ข้อมูล (Data Center)

ข้อเสีย:

  • ไม่เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลในระยะไกล (จำกัดประมาณ 500 เมตร)
  • แบนด์วิธน้อยกว่า Single-Mode

วิธีเลือกใช้งาน

การเลือกสาย Fiber Optic ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้:

1. ระยะทางของการส่งข้อมูล:

  • หากต้องส่งข้อมูลในระยะไกล เช่น เครือข่ายโทรคมนาคมหรือระหว่างเมือง ให้เลือก Single-Mode เนื่องจากรองรับระยะทางที่ไกลกว่า
  • หากการใช้งานในระยะสั้น เช่น ภายในอาคารหรือศูนย์ข้อมูล ให้เลือก Multimode

2. ความเร็วและแบนด์วิธที่ต้องการ:

  • สำหรับเครือข่ายที่ต้องการความเร็วสูงมากและแบนด์วิธกว้าง ควรเลือก Single-Mode
  • สำหรับเครือข่ายทั่วไปที่ไม่ต้องการแบนด์วิธสูงมาก เช่น ระบบภายในออฟฟิศ ควรเลือก Multimode

3. งบประมาณ:

  • Multimode มีราคาถูกกว่าและติดตั้งง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด
  • Single-Mode อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่ให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าในระยะยาว

4. ลักษณะของอุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมกัน:

  • ตรวจสอบว่าอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Router, Switch หรือ Media Converter รองรับสายไฟเบอร์ออปติกประเภทใด
  • Multimode อาจต้องใช้อุปกรณ์ที่รองรับการทำงานในระยะสั้น ในขณะที่ Single-Mode ต้องการอุปกรณ์ที่รองรับการส่งข้อมูลระยะไกล

5. ลักษณะของการติดตั้ง:

  • หากต้องการติดตั้งในพื้นที่ที่มีการรบกวนทางไฟฟ้าหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น โรงงาน ควรเลือกสายที่มีการป้องกันที่เหมาะสม

จำหน่ายและติดตั้งสายไฟเบอร์ออฟติกคุณภาพ

หากคุณกำลังมองหาสายไฟเบอร์ออฟติกที่มาพร้อมบริการติดตั้งฟรี ทางร้าน Personet Shop ยินดีให้บริการ เราจัดจำหน่ายและให้บริการติดตั้งสายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic) คุณภาพสูง พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการของระบบเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นสาย Single-Mode สำหรับการส่งข้อมูลระยะไกล หรือ Multimode สำหรับการใช้งานภายในอาคาร ทีมงานของเรามีความเชี่ยวชาญและพร้อมให้คำปรึกษาเพื่อให้คุณได้รับโซลูชันที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจหรือโครงการของคุณ ติดต่อเราวันนี้เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม!